ขอตอนรับเพื่อนๆๆ ชาวแจ่มใสน๊คร่า
แจ่มใส --->> เพื่อนของทุกคน ^^

วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ต้นอ่อนใบรัก -บทนำ+ ตอนที่1 ... แก้วกังไส

บทนำ



รถไฟกำลังจะออก...

แต่เก้าอี้ตรงกันข้ามกับที่นั่งของข้าวกล้าว่างมาตลอด จนกระทั่งเด็กสาว
ชื่อกิริฎาวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมาบนรถไฟ แล้ววางกระเป๋าเป้ใบใหญ่ลงบน
เก้าอี้ตัวนั้น เมื่อแรกเขาไม่ได้สนใจจนกระทั่งรู้สึกว่าดวงตาเรียวยาวดังหงส์
กำลังจ้องหน้าเขาเขม็ง

“ขอโทษนะคะ นี่เก้าอี้เบอร์ 13 ใช่ไหมคะ?” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ
ด้วยความงุนงง

ดวงหน้าผ่องพรรณกับนวลแก้มสีชมพูที่ระเรื่อขึ้นทุกขณะ พร้อมทั้งนัยน์ตาใส
ราวลูกแก้วที่กำลังสั่นคลอน สีหน้าหล่อนเต็มไปด้วยความวิตกกังวล กิริฎา
กำลังหันรีหันขวางด้วยอาการไม่ต่างกับกวางระแวงไพร จนชายหนุ่ม
อดเอ่ยถามออกมาไม่ได้

“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

“มีค่ะ...คุณเป็นใคร?”

คำถามนั้นจริงจังจนข้าวกล้าต้องทบทวนตนเอง เขาเป็นใครงั้นหรือ?
แล้วหล่อนล่ะ...เป็นใคร?


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ตอนที่ 1




ม่านสีม่วงอ่อนถูกรูดปิดลงอย่างรวดเร็วโดยมือเล็กขาวเนียน ด้วยกิริยาร้อนรน
เหมือนไม่อยากให้ใครเห็น ทั้งที่ในห้องนั้นเป็นห้องส่วนตัวที่มีเพียงหล่อน
และลูกพี่ลูกน้องสาวสวยผู้สูงวัยกว่าเท่านั้น แต่ท่าทางของเด็กสาว
เหมือนกำลังจะเจรจาความลับระดับชาติก็ไม่ปาน

“ไม่มีจริงๆ หรือ? “ ดวงตากลมโตของคนฟังคล้ายจะโตขึ้นอีก

“เบาๆ ซี่เจ้ อายเขา” เจ้าของห้องวัยแรกแย้มจุ๊ปากเป็นการเตือน

“น้องใหม่ปีหนึ่งน่ะเป็นอะไรที่ถูกแมลงตอมมากที่สุดนะ แล้วแกนี่ไม่มีใครมา
เมียงๆ มองๆ บ้างเลยเหรอ? สักนิดก็ไม่มีอ่ะ?”

เมื่อได้คำตอบเจ้เง็กลูกพี่ลูกน้องของกิริฎากำลังอ้าปากกว้างส่งเสียงหัวเราะ
ออกมาดังลั่นแบบไม่เกรงใจ ในขณะที่คนมีศักดิ์เป็นน้องยืนอ้าปากค้างอยู่

“เจ้!!!”

“ก็มันขำนี่...” คนเป็นพี่ลดเสียงลง แต่ยังกลั้วหัวเราะอยู่ในลำคอ สาวน้อย
ชื่อกิริฎาเห็นเข้าก็ช้อนในสายตาแสนงอนเขม่นเง็ก พร้อมกับบ่น
กระปอดกระแปด

“ก็นี่แหละที่ไม่เข้าใจว่าทำไม บลูอาจจะไม่ได้สวยจัด แต่ไม่ได้ขี้เหร่สักหน่อย
ไหนใครบอกว่าปีนี้สาวเทรนหมวยมาแรงไง”

กิริฎาลูกผู้น้องของเง็กอาจไม่ใช่คนสวยสะดุดตานัก รูปลักษณ์เด็กสาว
มาพิมพ์นิยมเดียวกับสาวหมวยทั้งหลาย หล่อนมีดวงตารียาวเหมือนตาหงส์
แต่สุกสกาวด้วยฉายแววแห่งความสุขออกมาจากดวงตาคู่นั้นเสมอ แล้วยัง
ผิวขาวผ่องนวลเนียนน่าสัมผัส ดวงหน้ารูปไข่กับแก้มใสเจือเลือดฝาดวัยสาว
เป็นสีชมพูจางๆ กับจมูกนิดๆ ปลายตรงรั้นหน่อยๆ ที่ซ่อนความดื้อไม่มิด
กับปากเล็กๆ สีสดช่างเจรจาอยู่เสมอ ทำให้คนอยู่ใกล้ๆ ไม่เคยเหงา
ตรงกันข้ามกลับรู้สึกอึกทึกไปด้วยซ้ำ เพราะอารมณ์ขันของเจ้าหล่อนนั่นเอง


องค์ประกอบทั้งหมดทำให้คนรอบตัวไม่เคยคิดว่าหล่อนเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว
หรือแม้แต่เป็นสาวสักทีก็ยังไม่ค่อยจะรู้สึก อาจเพราะความขี้อ้อน
และรูปร่างที่ยังไม่เป็นสาวเต็มตัวนัก กิริฎาแขนขายาวเก้งก้าง
ตามแบบเด็กรุ่นใหม่ และยังมีทีท่าว่าจะสูงกว่านี้ได้อีกเสียด้วยซ้ำ
เพราะความที่กำลังยืดตัว

ในขณะที่เด็กสาวที่อายุเท่ากันหลายคนมีรูปร่างที่ลงตัวและอวบอิ่มแล้ว
แต่กิริฎาหาเป็นเช่นนั้นไม่ทรวดทรงองค์เอวยังไม่ผาย ส่วนที่ควรคอด
ยังไม่คอด ส่วนที่ควรจะนูนอย่างที่เจ้าตัวอยากให้นูนก็ไม่นูนเสียที
บราเซียก็ไม่เคยเปลี่ยนจากคัพเอมาหลายปีดีดักแล้ว เง็กเองเสียอีก
ที่คอยปลอบน้องบ่อยๆ ว่าหาเสื้อผ้าใส่ง่าย ในยุคที่เสื้อผ้าสำเร็จรูป
ประหยัดผ้า และมีไว้สำหรับคนผอมและผอมมากเท่านั้น


แต่การสนทนาครั้งนี้ทำให้เง็กระลึกได้ว่ายัยหมวยน้อยเมื่อวันวาร
กำลังเป็นสาวเต็มตัวแล้ว นั่นสินะอีกไม่กี่ปีลูกผู้น้องของหล่อนกำลังจะ
อายุ 20 ปีอยู่แล้ว คิดได้ดังนั้นเง็กก็เผลอหัวเราะออกมา จนคนเป็นน้อง
จ้องหน้าเขม็งด้วยอาการรู้ทันกัน เง็กเห็นสีหน้าอันน่าขบขันนั้นเข้า
หล่อนก็ยิ่งตะเบ็งเสียงหัวเราะออกมา จนกิริฎาอดค้อนไม่ได้

“หัวเราะพอหรือยังเจ้?” เมื่อเห็นคนเป็นน้องตั้งท่าจะงอนจริงๆ
เง็กค่อยหยุดเสียงคิกๆคักๆ นั้นลง

“นี่เจ้ก็ยังไม่มีแฟน ไม่เห็นจะคิดมากอย่างแกเลย”

“แต่เจ้สวยคนมาจีบตรึมนี่ แถมเรื่องมากไม่เอาใครสักคนเองยังจะมาบ่น
อะไรอีกล่ะ ส่วนบลูสิ บลูรู้สึกเหมือนตัวเองผิดปกติ ตอนเข้าปีหนึ่งใหม่ๆ
ส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีแฟน นี่อะไรพอจะจบปีสองเหลือแค่ไม่กี่คนเท่านั้นแหละ
ที่ยังเป็นโดดเดี่ยวผู้น่ารักอยู่ บลูไม่ดีตรงไหนเหรอ? ทำไมไม่เห็นมี
คนมาจีบบ้างล่ะ”

“โธ่เอ้ย...อายุแค่นี้กลัวขึ้นคานไปได้ นี่หล่อนเพิ่ง 18 เองไม่ใช่เหรอยะ?”
ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่าคู่สนทนายังไม่เห็นจะโตไปกว่าห้าปีที่แล้วสักเท่าไรเลย

“19 แล้วต่างหาก” สาวน้อยทำปากยื่นตอนเถียง

“อ่ะๆ งั้นถามหน่อย แกให้เบอร์โทรศัพท์ใครบ้างหรือเปล่า?”

“ก็ให้นะ...”

“แล้วได้คุยไหม?”

“เบอร์แปลกๆ ไม่ค่อยอยากรับกลัวโรคจิตอ่ะ”

“แล้วโทรไปหาหนุ่มบ้างป่ะ”

“บ้า! เจ้เราเป็นผู้หญิงนะ ทำงั้นก่อนเสียฟอร์มแย่”

“ฟอร์มมากจะขึ้นคาน งั้นอย่างอื่นแกทำไรบ้างเนี่ย แชทเชิทไรงี้”

“ก็มีบ้าง...” สาวน้อยมีสีหน้าเขินอายขึ้นมา ดวงตารียาวแบบลูกคนจี
นเล็กหยิบหยีลงตอนที่ยิ้ม

“อะไรเนี่ย? อยู่ๆ ก็มาทำตาวาวแบบนี้ มันต้องมีไรแน่ๆ เลยใช่ไหม?
ไปปิ๊งใครในแชทเข้าล่ะ”

“แหมเจ้เง็กเนี่ย...รู้ทันอยู่เรื่อยเลย สวยแล้วยังฉลาดอีก”

กิริฎาไม่อายที่จะเล่าให้ลูกพี่ลูกน้องฟัง เพราะเง็กนั้นเปรียบเสมือนพี่สาวแท้ๆ
ของหล่อนเลยทีเดียว หล่อนเองก็ไม่มีพี่สาวมีแต่พี่น้องผู้ชายล้วนๆ
จึงติดพี่สาวคนนี้มาแต่ไหนแต่ไร
“ไม่ต้องมาพูดโน่นพูดนี่เลยนังบลู เล่ามาซะดีๆ อย่าให้เป็นห่วง
คนในเน็ตเนี่ยมันไม่ใช่ว่าไว้ใจได้เสมอไปนะ”

หญิงสาววัยยี่สิบปลายอย่างหล่อนรู้สึกเป็นห่วงลูกผู้น้องอย่างกิริฎา
ขึ้นมาทันที แต่ยังเก็บสีหน้าไม่แสดงอาการตกอกตกใจ เพราะเข้าใจว่า
เป็นเรื่องของวัยรุ่น แต่เรื่องนี้ไม่ควรให้บิดามารดาของกิริฎารู้เข้าเด็ดขาด
รับรองเจ้าหล่อนต้องโดนดุก่อนจะได้อ้าปากอธิบายแน่ๆ

ด้วยความที่ยัยตาหยีน้องน้อยของหล่อน เป็นบุตรสาวคนเดียวของอาแปะ(ลุง)
นอกเหนือจากบุตรชายอีกสามคนแล้ว แม้กิริฎาจะไม่ใช่ลูกคนเล็กก็ตาม
แต่ความที่เป็นบุตรสาวจึงถูกเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอม

ยิ่งไปกว่านั้นแม่สาวน้อยเรียนโรงเรียนสตรีมาตลอด ไม่ค่อยมีเพื่อนผู้ชาย
เพื่อนฝูงรอบตัวเป็นเพื่อนนักเรียนที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยมต้นด้วยซ้ำ
ตื่นตอนเช้ามารดาก็ขับรถไปส่ง ตกเย็นไปรับ จนเข้ามหาวิทยาลัยกิริฎา
เพิ่งจะไปเรียนเองด้วยซ้ำ เง็กเองก็เป็นห่วงน้องแต่ไม่ตื่นตระหนก
เท่าผู้ใหญ่แน่ๆ หล่อนคิดแล้วจึงค่อยตะล่อมถามด้วยความใจเย็น

“เจ้จำก้อยได้ไหม? เพื่อนบลูคนที่คิ้วหนาๆ หน่อยน่ะ” เง็กนิ่งไป
สองสามวินาทีก่อนจะพยักหน้ารับ

“อืม...นั่นแหละ โจเขาเป็นเพื่อนของก้อย เป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ

บ้านก็อยู่ใกล้ๆ กัน ไว้ใจได้”

“อ๋อ...นี่คงไปบ่นกับเพื่อนล่ะสิท่าว่าไม่มีคนมาจีบ ยัยก้อยเลยสงเคราะห์
โละเพื่อนบ้านให้ใช่ไหม?”

“เจ้...ไม่ใช่สักหน่อย แค่แนะนำให้รู้จักกันเฉยๆ”

“ถึงขั้นไหนแล้วล่ะ?”

“ก็ไปกินไอติมด้วยกันสองครั้ง ไปดูหนังอีกครั้ง” คนเล่านับนิ้วขึ้นมา

“สองต่อสอง?”

“1 ต่อ ฝูงต่างหาก...ก้อยมันไปเล่าคนอื่นฟัง ไอ้พวกนั้นเลยแห่กันมา
ด้วยเซ็งเลย” กิริฎาทำหน้ามุ่ย แต่เง็กหัวเราะงอหาย

“โถ...ออกเดททั้งทียังเป็นแบบหมู่คณะอีก ฮิ ฮิ”

“เออน่า...แต่ว่าโจเขาคุยเก่งนะ คุยสนุก ถึงจะชอบแซวไปหน่อยก็เถอะ”
ไม่ต้องบอกเง็กก็พอจะรู้ เมื่อลูกผู้น้องของหล่อนยิ้มไปเล่าไปอย่างนั้น

“แล้วโจหล่อไหม? เขาเรียนที่ไหน อายุเท่าไรแล้ว” เห็นพี่สาวสนใจฟัง
กิริฎาเลยรีบเล่าให้ฟังทั้งข้อมูลเบื้องต้น ทั้งข้อมูลเผาขนที่ฟังมาจากเพื่อนๆ

“ไม่ค่อยหล่อหรอกแต่น่ารักดี หน้าตาแนวๆ เกาหลีน่ะ ไม่ใช่สเปคบลูหรอก
นายคนนี้เบ๊อะบ๊ะจะตาย แต่ก็...น่ารักดีอ่ะ” หล่อนพูดเองสรุปเอง
โดยมีพี่สาวนั่งอมยิ้มอยู่ข้างๆ

“ก็ดีแล้วนี่...แสดงว่ารอดพ้นจากโรคกลัวขึ้นคานแล้วไม่ใช่เหรอ?
แล้วลากเจ๊มาปรึกษาอะไร? เจ้ไม่เห็นแกจะมีอะไรกลุ้มใจสักหน่อย
อุตส่าห์ทนฟังตั้งนาน” เง็กแกล้งเชิดหน้าทำงอนใส่บ้าง สาวน้อยเห็นเข้า
ก็รีบขยับเข้ามาใกล้แล้วกอดหล่อนอย่างเอาใจ

“ไม่ต้องมาประจบเลย” สาวผู้พี่ใช้มือไสศีรษะน้องสาวออกไปเบาๆ

“เจ้ล่ะก็...บลูรักเจ้จริงๆ นะ เจ้เง็กทั้งสวยทั้งฉลาด เป็นไอดอลของบลู”

“ต๊าย...ปากหวานผิดปกติ ขนลุก แกจะเอาอะไรจากฉันยะ?”

“ไม่เอาอะไรหรอก...แค่อยากให้ช่วยอะไรนิดหน่อยเอง” คิ้วโค้งโก่งงาม
ที่กันมาเลิกขึ้นทันที พร้อมกับเสียงถอนหายใจ ว่าแล้ว...ไม่ชอบมาพากล

“ว่าแล้ว อย่างบลูน่ะเหรอจะมานั่งเยินยอเจ้เฉยๆ ว่ามาจะให้ทำอะไร?”

“เจ๊ใจดีจริงๆ เลย รักเจ้เง็กที่สุด” หล่อนหอมแก้มพี่สาวดังฟอด

“พอๆ ไม่ต้องมาประจบเลย รีบๆ พูดมาเดี๋ยวเปลี่ยนใจไม่ช่วยเสียหรอก”

หล่อนแกล้งขยับตัวหนี กิริฎาได้ยินเข้าก็รีบคลายมือออก ทำท่าจะเล่า
แต่แล้วสาวน้อยกลับบิดตัวไปมากระมิดกระเมี้ยนไม่กล้าพูดออกมา
อย่างที่ใจคิด

“จะลีลาอีกนานไหม? ไม่พูดเจ้กลับล่ะ” พูดจบเง็กก็แกล้งลุกขึ้น
กิริฎาเลิกบิดตัวแล้วหันมาคว้ามือสาวผู้พี่ไว้ทันที

“เดี๊ยววว...ว อย่าเพิ่งใจร้อนสิเจ้ก็...”

“ก็รีบๆ พูดมาสิยะ...ท่ามาก”

“ก็ได้ๆ คือว่างี้นะ...โจเขาชวนไปเที่ยวเชียงใหม่ตอนปิดเทอมอาทิตย์หน้าน่ะ”
เง็กชะงักแล้วหันมามองหน้ากิริฎา

“เฮ้ย! มันจะก้าวหน้าเร็วเกินไปหรือเปล่า? อย่าบอกนะว่าจะไปกันสองคน”

“บ้าา...า!!” คนเป็นน้องลากเสียงยาว พลางเอื้อมมือมาตีแขนพี่สาว
เป็นการใหญ่

“เอ๊า...ก็แกพูดเองนี่”

“ยังพูดไม่จบอย่างเพิ่งสรุป ไปเป็นกลุ่มกับเพื่อนๆ สมัย ม.ปลายน่ะ
มีไอ้เล็ก ปลา ก้อย แล้วก็โจ”

“อ้อ...แล้วยังไง?”

“เจ้...ขออนุญาตปะป๊าให้หน่อยสิ ขอเองป๊าต้องไม่ยอมแน่เลย”

“ยังไม่ลองดูจะรู้ได้ไง” เง็กคัดค้าน

“โอ้ย...ย ไม่ต้องลองก็รู้ ป๊าเคยบอกไว้แล้ว ไม่อนุญาตให้ไปเที่ยวต่างจังหวัดกันเอง
ป๊าน่ะทำเหมือนบลูเป็นเด็ก ป.4 อยู่เรื่อย กลับบ้านช้าก็ต้องโทรจิกๆๆ อยู่นั่นแหละ
บางทีทำกิจกรรมมืดหน่อย ป๊าก็ไม่เชื่อหาว่าแอบไปเที่ยว มีอย่างเหรอ
เอารถไปดักที่หน้า ม.เพื่อจับผิดลูกใครที่ไหนเขาทำแบบนี้ แล้วป๊าเหรอ
จะอนุญาตให้บลูไป”

สาวน้อยบ่นออกมายืดยาว แต่ไม่ทันได้สังเกตแววตาของคู่สนทนา
เง็กมองเห็นคนละสิ่งกับที่กิริฎาเล่าราวกับหนังคนละม้วนเลยทีเดียว
อาแปะของหล่อนทั้งรักทั้งเป็นห่วงลูกสาวนัก ที่ทำไปก็คงเพราะ
ความห่วงใยล้วนๆ เพียงแต่อาจจะเป็นคนที่ไม่พูดตรงๆ อย่างที่หัวใจ
กำลังคิด หลายๆ ครั้งก็เสแกล้งพูดไปคนละเรื่อง ซึ่งล้วนแล้ว
แต่เป็นเหตุผลที่ชวนโมโหทั้งสิ้น ไม่แปลกที่กิริฎาจะเข้าผิดว่าบิดา
ของหล่อนกำลังจับผิดบุตรสาว เง็กได้แต่ส่ายหน้าพูดตรงๆ
แค่นี้ทำไมจึงกลายเป็นเรื่องยากเย็นไปได้

อาแปะของหล่อนนี่ช่างเป็นผู้ชายจีนดั้งเดิมขนานแท้ๆ ไม่ปรับตัวตามยุค
ตามสมัยเอาเสียเลย...แต่มันคงจะเป็นลักษณะเฉพาะเชื้อชาติจริงๆ
ถ้านับย้อนขึ้นไป อากงของทั้งคู่ก็ปากร้ายเอาการ แต่ทุ่มเทเพื่อ
ครอบครัวเหลือเกิน บิดาของหล่อนเองก็ใช่ไม่ต่างกันนัก พูดจาไม่รื่นหู
หลายครั้งก็ให้เข้าใจผิดและน้อยใจได้บ่อยๆ แต่เมื่อเติบโตขึ้น
หล่อนเห็นโลกกว้างขึ้น มีประการณ์มาประกอบเข้ากับอายุกลายเป็น
วัยวุฒิที่เปิดใจให้กระจ่าง จึงเข้าใจได้ว่าแท้จริงแล้วบิดาคิดอย่างไร
คิดแล้วเง็กก็อดไม่ได้ที่จะแก้ตัวให้บิดาของกิริฎา

“นี่บลู เจ้ว่าป๊าเธอไม่ได้ว่างขนาดจะไปดักจับผิดเธอหรอกนะ ว่าเธอโกหก
หรือเปล่าว่าทำกิจกรรมอยู่มอน่ะ แต่อาแปะเขาเป็นห่วงมากกว่าก็เลยมารับ”

“เจ้อย่าแก้ตัวให้ป๊าดีกว่าบลูเซ็ง ก็รู้ว่าห่วงแต่...เอาเถอะๆ” เด็กสาวปัดเรื่องทิ้ง
ไม่อยากถกเถียงกับพี่สาว

“สรุปว่าบลูเบื่อป๊า ป๊าไม่ค่อยมีเหตุผล ไม่ค่อยฟังใครด้วย ป๊ารู้แต่ว่า
ก็ป๊าว่าแบบนี้มันก็แบบนี้สิวะ ลื้ออย่าดื้อเซ่...ทั้งปีแหละ”

“แปะก็อย่างนี้แหละ ปากเสีย” ดูเหมือนกิริฎาจะชอบคำวิจารณ์ของสาว
ผู้พี่มาก หล่อนหัวเราะคิกออกมาทันที

“ไอ้ปากเสียนี่มันเป็นพันธุกรรมแก้ไม่ได้ เตี่ยเจ๊ก็เป็น แล้วมันก็สืบมาถึงเจ้นี่แหละ
หนุ่มๆ มันทนปากเจ้ไม่ได้ไอ้ที่มาจีบเลยหายหัวไปหมด ก็นึกเสียว่าเป็นกรรม
ได้พันธุกรรมปากหมา ในเมื่อรู้ว่าป๊าเราเป็นอย่างนี้จะไปถือสาทำไมล่ะ “

คำเปรียบเปรยของเง็กทำหน้ากิริฎาอารมณ์ดีขึ้นมาก ก็พี่สาวคนสวย
เข้าใจหล่อนเสมอคอยเป็นพวกอยู่ รอยยิ้มอารมณ์ดีจึงระบายไปทั่วใบหน้า

“บางทีเจ้ก็คิดว่า...อาแปะเขาขี้อาย จะบอกว่าเป็นห่วงตรงๆ มันเสียฟอร์ม
เลยแกล้งพูดประชดใส่พูดไปพูดมาก็ชวนทะเลาะซะงั้น”

“ป๊าเนี่ยนะขี้อาย ขี้โอ่ล่ะสิไม่ว่า เฮ้อ...”

กิริฎาแม้จะคลายสีหน้าหงุดหงิดยามพูดถึงบิดาลงบ้างแล้ว แต่ยังเผลอ
ถอนหายใจออกมา หล่อนเองก็รู้ว่าบิดาเป็นคนเช่นไร เพียงแต่รู้สึกเบื่อหน่าย
และยังไม่พร้อมจะยอมรับเห็นเป็นเรื่องน่ารักน่าเอ็นดูแบบที่มะม๊าของหล่อน
หรือแม้แต่เจ้เง็กมองเห็นได้

“เรื่องป๊าน่ะช่างเถอะ...แต่เจ้คิดดูสิว่าถ้าบลูไปขออนุญาตจะเกิดอะไรขึ้น
ป๊าต้องโวยวายแหงๆ แล้วก็ซักๆๆ ตั้งแต่ว่ามีใครไปบ้าง ไปไหนยังไง
มีเบอร์เพื่อนทุกคนทิ้งไว้ให้ป๊าหรือเปล่า กรี๊ดดดดดดดดด
ขืนเป็นอย่างนั้นบลูต้องบ้าตายแหงๆ”

“ถึงขั้นขอเบอร์เพื่อนเลยเหรอ? หวงลูกน่ากลัวแฮะ”

“ส่วนใหญ่เบอร์เพื่อนๆ มันคบมาแต่เด็ก ก็มีทั้งนั้นแหละ ป๊าก็ให้ม๊าโทรไป
ตามบ้านเพื่อนมั่ง แต่ตอนซ้อมเพลงรับน้องนี่แย่สุดป๊าขอเบอร์รุ่นพี่ไว้ด้วย
บอกว่าป๊าจะได้โทรถามว่าเสร็จเมื่อไรจะมารับ นี่แหละเขาเลยลือไป
ทั้งรุ่นทำให้ไม่มีใครกล้าจีบบลู เพราะเรื่องนี้แน่ๆ เลย”

“ผู้ชายสมัยนี้มันปอดแหกขนาดนี้เลยเหรอ?”

“ก็ป๊าน่ะ...เวอร์ คนอื่นเขาคงรำคาญ ไม่งั้นทั้งสวย ทั้งน่ารักอย่างบลูน่ะหรือ
จะไม่มีใครมาจีบ เจ้คิดดูนะแม้แต่แมงวันตัวผู้ยังไม่บินผ่านหน้าบลูเล้ยย...ย”
คำเปรียบเทียบของหล่อนทำให้คู่สนทนาทนเก็บเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่
เง็กปล่อยเสียงก๊ากออกมาโดยไม่เกรงใจใคร

“โอ้ย...เจ้จะท้องแตกตายแล้ว แกเลิกเล่นตลกคาเฟ่ให้ดูสักทีได้ไหม ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

“ใครเล่นตลกคาเฟ่ เจ้แหละบ้าจี้เอง” ยิ่งพูดเง็กก็ยิ่งหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง
จนกิริฎาต้องกอดอกทำสีหน้าเคร่งขรึมใส่นั่นแหละหล่อนถึงหยุดหัวเราะได้

“โอเคๆๆ เลิกหัวเราะก็ได้ ตกลงคือที่ชักแม่น้ำทั้งห้ามาเนี่ย
จะให้เจ๊ช่วยไปขออนุญาตให้ใช่ไหม?”

“ช่ายยยยยยย...ย แล้ว นะๆๆ พลีสๆๆ เจ้คนสวยคนไม่ทำให้น้องสาวคนนี้
ผิดหวังนะเจ้าคะ บลูยังไม่เคยไปเที่ยวต่างจังหวัดโดยไม่มีผู้ใหญ่ไปคุมเลย
เพื่อนๆ รุ่นเดียวกันเขาเที่ยวแบบนี้กันชิลชิลจะตาย” เจ้าหล่อนประสานมือ
ทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน แล้วทำท่าประหนึ่งกำลังอธิษฐานกับดวงดาว

“สำคัญตรงที่ทริปนี้มีหนุ่มชื่อโจด้วยใช่ไหม?”

“เจ๊ก็...อย่ามาทำรู้ทันสิ ฮิ ฮิ” มือเล็กฟาดผั๊วะเข้าที่ไหล่ของเง็กอย่างแรง
จนพี่สาวชักจะหมั่นไส้อาการเขินเสียแล้ว

“เออๆ จะพยายาม แต่ไม่รู้จะสำเร็จหรือเปล่านะ แต่ไปเป็นกลุ่มใช่ไหม
จะได้ไม่ต้องห่วงนัก เราน่ะมันเฟอะฟะอยู่ด้วย”

“จ้ะ ไปหลายคนจ้ะ”

“งั้นบอกหน่อยไปไหนบ้าง เจ้จะได้ไปคุยกับอาแปะถูก”

“ขอบคุณค่าเจ๊ รักเจ้ที่สุดเลย ขอให้เจ้เง็กสวยที่สุดในสามโลกเลยเอ้า”

ร่างผอมบางแบบเด็กสาวกำลังโตโผเข้ามากอดหล่อนเต็มแรง จนแลดูเหมือน
ลูกลิงน้อยกระโดดเกาะแม่เสียมากกว่า สร้างความขบขันให้คนถูกกอด

....คงอีกนาน กว่าน้องสาวคนนี้ของหล่อนจะโต....


เง็กบอกตนเองแบบนั้น แล้วตั้งหน้าตั้งตาหลอกถามแผนการเที่ยวของน้องสาว
เพื่อตรวจสอบในสิ่งที่กิริฎาบอกเล่า และทั้งหมดนี้ก็เพื่อความปลอดภัย
ของกิริฎาเอง น้องของหล่อนใสซื่อกว่าเด็กรุ่นเดียวกันอีกหลายคนมากนัก
ทั้งหล่อนและครอบครัวไม่อยากให้ความสดใสนี้ถูกทำลายลงด้วยผู้ชายไม่ดี

เมื่อน้องน้อยคิดจะไปเที่ยวค้างอ้างแรมไกลบ้าน จริงอยู่มันน่าเป็นห่วง
แต่การกักสาววัยรุ่นไว้ไม่ให้รู้จักโลกภายนอกก็น่าเป็นห่วงพอๆ กัน
อีกประการในวัยแรกแย้มเช่นนี้ ความรักมาทักทายได้โดยง่าย และหัวใจเอง
ก็หวานไหวพอจะอยากทำความสนิทสนมกับหัวใจอีกดวงด้วย สิ่งที่ทำได้
คือดูแลอยู่ห่างๆ คอยเป็นไม้ค้ำให้ไม้อ่อนเติบโตขึ้นลำต้นตรงได้รูปสวย
ไม่โค้งงอ

เง็กสนทนากับกิริฎาไปเรื่อยๆ โดยที่มิได้ปริปากให้สาวน้อยรู้ถึงความในใจ
เลยแม้แต่น้อย แต่พี่สาวผู้ซึ่งมากไปด้วยประสบการณ์อย่างเง็กเอง
ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าบางครั้งบางคราว มนุษย์เราไม่อาจจะควบคุมชะตาชีวิตได้
และยิ่งเมื่อน้องสาวของหล่อนก้าวขึ้นรถไฟขบวนนั้นไปแล้ว....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น